การบังคับใช้กฎกระทรวง กำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ.2559 ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นกิจการโรงแรมขนาดเล็กและบูติค โฮเต็ล จดทะเบียนประกอบกิจการเพิ่มขึ้น
วรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งโครงการเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล และHomemade Stay ชุมชน เปิดเผยว่าปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายตามกฎกระทรวงใหม่มากขึ้น คาดช่วง 3-5ปี มีสัดส่วน 50% จากปัจจุบันลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายราว 10% จากจำนวนห้องพักที่ขายผ่านออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ หรือ OTA รวมกว่า 8 แสนห้อง
สำหรับกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ.2559 ได้รับการแก้ไขและปรับปรุงจากกฎกระทรวงฉบับเดิมค่อนข้างมาก เนื่องจากมีเนื้อหารายละเอียดที่ผ่อนปรนมากขึ้น เช่น การกำหนดพื้นที่ช่องทางเดินในอาคารความกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตรสำหรับอาคารไม่เกิน 2 ชั้น ที่มีจำนวนห้องพักในอาคารหลังเดียวกันไม่เกิน 10 ห้อง เป็นต้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงและผ่อนปรนกฎเกณฑ์ให้เหมาะกับการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปัจจุบันที่มีโรงแรมขนาดเล็กประเภทต่างๆ เช่น บูติค โฮเต็ล โฮสเทล ได้มีโอกาสเข้ามาประกอบการและขยายตัวมากขึ้น
มองว่าจะช่วยผลักดันให้มีผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้มากขึ้น หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปกติที่มีโรงแรมขนาดเล็กเปิดใหม่ราว 1,000 แห่งต่อปี
เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาธุรกิจจากอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ นำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นธุรกิจโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎกระทรวงได้มากขึ้น โดยไม่จำกัดเฉพาะการมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับการทำโรงแรมไซส์ใหญ่เท่านั้น
ปัจจัยที่ทำให้มีผู้สนใจทำธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก มาจากหลายองค์ประกอบ เช่น การเป็นเจ้าของอาคารเองจะใช้งบลงทุนไม่สูงเท่ากับการลงทุนทำธุรกิจโรงแรมใหญ่ รวมถึงการตกแต่งโรงแรมขนาดเล็กสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์นำเสนอให้แตกต่างและมีโอกาสทำตลาดมากขึ้น
“ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎเกณฑ์ใหม่ จะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเต็มมากขึ้นกว่าในอดีต สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงหากต้องการขายกิจการก็สามารถทำได้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ไม่ต้องปิดบังเหมือนในอดีต”
ทางด้าน จิตติพันธ์ ศรีกสิกรณ์ ที่ปรึกษาด้านการทำธุรกิจโฮสเทลและผู้ร่วมก่อตั้ง Lub D Hostel กล่าวว่ากฎหมายฉบับใหม่สำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กได้สร้างความเท่าเทียมระหว่างกลุ่มทุนขนาดเล็กและทุนใหญ่ในการประกอบการกิจการประเภทนี้ รวมถึงทำให้ไทยมีโปรดักท์ด้านที่พักเพื่อการพักผ่อนและท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้น จากไอเดียความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการในคอนเซปต์ต่างๆ
นอกจากนี้ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของไทยสูงขึ้น เมื่ออสังหาฯทั่วไปถูกแปรสภาพสู่ธุรกิจที่พักอาศัยเชิงการท่องเที่ยว ด้านโรงแรม โฮสเทล
“ส่วนประโยชน์ที่จะได้กับประเทศชาติ คือ การจัดเก็บภาษีกับผู้ประกอบการได้ครบถ้วนมากขึ้น และยกระดับมาตรฐานการบริการโรงแรมทั่วประเทศให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์”
ปัจจุบันคาดว่ามีโรงแรมขนาดเล็กมากกว่าโรงแรมขนาดใหญ่ โดยโรงแรมขนาดเล็กกระจายตัวมากสุดในกรุงเทพฯ เมืองท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา
คอนเซปต์โรงแรมขนาดเล็ก บูติคโฮเต็ล และโฮสเทล ยังได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทรนด์สุขภาพ ที่มีกิจกรรมน่าสนใจเข้ามาเสริม เช่น ดีท็อกซ์ สปา ปลูกผักออร์แกนิค เป็นต้น รวมถึงแนวไลฟ์สไตล์ ที่นำเสนอความสวนงาม การตกแต่งทันสมัย จูงใจให้คนเข้าใช้บริการและถ่ายรูปแชร์ประสบการณ์ในโลกออนไลน์
โฮสเทลหลายแห่งเริ่มหากิจกรรมอื่นๆ เข้ามาเสริมมากขึ้น เช่น ทัวร์พาชิมและทำอาหารท้องถิ่น บางแห่งเริ่มจัดกิจกรรมแฮงเอาท์ เพื่อเพิ่มยอดใช้จ่ายของผู้เข้าพักจากการให้บริการบาร์ เลาจน์ ปกติคิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 30% ของรายได้
สำหรับเทรนด์“Poshtel” ซึ่งเป็นรูปแบบบริการผสมผสานระหว่างโฮสเทลทั่วไป กับการบริการและตกแต่งโรงแรมแบบหรูหรา ถือเป็นหนึ่งในประเภทโฮสเทลที่กำลังมาแรง ตอบโจทย์คนที่ต้องการเข้าพักแบบโฮสเทล แต่จะได้รับการบริการที่หรูหรามากกว่า มีห้องพักขนาดกว้างขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูง เฉลี่ยอยู่ที่ 600 -700 บาทต่อคืนขึ้นไป เมื่อเทียบกับโฮสเทลค่าบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 200 -300 บาทต่อคืน หากเป็นโฮสเทลที่อยู่ในเมือง ค่าบริการอยู่ที่ 500 บาทต่อคืน
ขณะที่ ทรงวุฒิ ตรีเทพจุลยากูล ผู้บริหารแอพพลิเคชั่น “โฮมเมดสเตย์” กล่าวว่าได้พัฒนาบริการแอพพลิเคชั่น “โฮมเมดสเตย์” ที่ช่วยผู้ประกอบการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก โดยสามารถเช็คสต็อกสินค้าและควบคุมการสำรองห้องพัก รวมถึงมีโซลูชั่นต่างๆเกี่ยวกับการบริหารโรงแรมที่สะดวกมากขึ้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการในแอพดังกล่าวกว่า 200 ราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการแอพอย่างเป็นทางการในปีหน้า และจะพัฒนาระบบบริการให้สอดรับกับผู้ใช้งานแต่ละรายในอนาคต