Featured

ตอบรับเทรนด์ Sustainable Tourism กับ Sustainable Boutique Hotel Design!

ตอบรับเทรนด์ Sustainable Tourism กับ Sustainable Boutique Hotel Design!

JETWING LIGHTHOUSE - SUSTAINABLE BOUTIQUE HOTEL DESIGN อีกเทรนด์หนึ่งของกลุ่มลูกค้าโรงแรมที่น่าจับตามองในช่วงปลายปี 2568 นี้ คือเทรนด์ “Sustainability” หรือ “Sustainable Tourism” จากแนวโน้มการท่องเที่ยวไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33.4 ล้านคน รายได้กว่า 1.51 ล้านล้านบาท ทีมงานเปลี่ยนบ้านเก่าฯ อยากพาทุกท่านไปรู้จักกับโรงแรม Jetwing Lighthouse ซึ่งออกแบบโดย Geoffrey Bawa และเป็นหนึ่งในโรงแรมแนว Sustain ที่เป็นแนวหน้าของประเทศศรีลังกา Jetwing Lighthouse ตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเล ไฮไลต์ของโรงแรมนี้คือการดีไซน์ที่เปิดรับองค์ประกอบภายนอก และดึงเอาเสน่ห์ของทะเลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับโรงแรม ได้อย่างลงตัว Jetwing เป็นโรงแรมบูติคสไตล์ contemporary ที่สอดแทรกความหรูเข้ากับดีไซน์สไตล์ประหยัดพลังงาน (Sustainable) ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความสมดุล (Wellness) ให้กับแขกผู้มาเยือน โรงแรมแห่งนี้ใช้การดีไซน์แบบเปิด เพื่อทำให้พื้นที่ ภายในโปร่ง ระบายอากาศ และช่วยในการไหลเวียนของแขกผู้เข้าพัก (Circulation Flow)  นอกจากนี้ การดีไซน์ของช่องเปิดในโรงแรมยังช่วยดึงเอาองค์ประกอบภายนอกมาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นแสง เสียง กลิ่น หรือ ทิวทัศน์ของทะเล ซึ่งมอบความผ่อนคลายให้กับแขกภายในพื้นที่ สมคำรํ่าลือ “Symphony of the Wave” การใช้งานของเสาเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจในการกำหนดพื้นที่และช่องเปิดของ Jetwing เช่น การวางตำแหน่งและระยะเสาแทนกำแพง ไม่เพียงแต่จะช่วยกำหนดขอบเขตของพื้นที่ภายในโรงแรม แต่ยังเป็นช่องเปิดที่ช่วยให้องค์ประกอบภายนอกมามีส่วนร่วมภายในโรงแรมอีกด้วย โดยเฉพาะจุดที่ส่องออกไปยังทะเล คอร์ดยาด (courtyard) หรือแม้กระทั่งสระนํ้าสะท้อนแสง-เงากลางโรงแรม นอกจากช่องเปิดด้านข้าง โรงแรมยังมีช่องเปิดที่ส่องลงมาจากด้านบน เพื่อช่วยนำแสงธรรมชาติเข้ามาสู่พื้นที่ภายในโดยตรง และยังล้อกับองค์ประกอบภายในโรงแรมอีกด้วย โดยเฉพาะในส่วนของสระนํ้าภายสะท้อนแสง-เงากลางโรงแรม การดีไซน์ของหน้าต่างก็เป็นอีกหนึ่งในตัวอย่างที่ช่วยให้โรงแรมแห่งนี้โดดเด่น หน้าต่างของห้องพักแต่ละห้องได้ถูกดีไซน์ให้เป็นบานไม้ที่เปิดเข้าแทนการเปิดออก เสน่ห์ของการดีไซน์สุดคลาสสิกนี้ ช่วยบล็อกการเข้าถึงของปัจจัยภายนอก เพื่อให้แขกมีอิสระในการเปิดให้ห้องโปร่ง หรือปิดเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น การดีไซน์ที่นำเอาองค์ประกอบภายนอกมาใช้งาน ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดพลังงาน แต่ยังทำให้พื้นที่ภายใน เกิดความสมดุล อีกทั้งยังเพิ่มบริบทของ Wellness เข้าไปในพื้นที่อีกด้วย Jetwing Lighthouse จึงเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่หลอมรวม “Hotel”, “Sustainability” และ...

Read more →


โรงแรมบูติคด้วยแนวคิด Wellness Luxury สำหรับกลุ่มลูกค้าปี 2026

โรงแรมบูติคด้วยแนวคิด Wellness Luxury สำหรับกลุ่มลูกค้าปี 2026

Health is the new wealth เทรนด์หนึ่งที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกในตอนนี้ คือ “ธุรกิจ Wellness” ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลสำรวจจากทาง Global Wellness Institute (GWI) ได้ระบุว่า เศรษฐกิจ Wellness ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 9 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2028 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้คนทั่วโลกที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ผลวิจัยในช่วงปลายปี 2025กว่า 30% ของวัยรุ่นเจนใหม่ หันมาสนใจดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ทำให้เกิดแนวคิด “Health is the new wealth” ทั่วโลก และน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง กรณีศึกษาครั้งนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “Amangalla” สุดยอดโรงแรม Wellness ในประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือ “Aman” โรงแรมระดับโลกที่ขึ้นชื่อด้าน Wellness หรือการมอบประสบการณ์แห่งความสงบและความหรูหราแบบเรียบง่าย โดยการผสมผสานบริบทรอบข้างเข้ากับการออกแบบเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลงตัว จากอาคารเก่าสู่โรงแรมบูติคสุดหรู Amangalla เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในเขต Galle Fort หนึ่งในมรดกโลกของศรีลังกา โรงแรมแห่งนี้ถูกดัดแปลงมาจากอาคารเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปี โดยยังคงโครงสร้างและองค์ประกอบดั้งเดิมไว้ เพื่อสะท้อนความงดงามทางประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับการเสริมรายละเอียดใหม่ที่แฝงกลิ่นอายความหรูหราและสงบงามในแบบฉบับ “Aman” สถาปนิกที่ดีไซน์โรงแรมแห่งนี้ ใช้หลักแนวคิดของ “ความกลมกลืน” ทั้งระหว่างผู้เข้าพักกับสถานที่ ระหว่างสถาปัตยกรรมเก่ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ไปจนถึงระหว่างความหรูหรากับความเรียบง่ายที่ชวนให้รู้สึกเป็นธรรมชาติ Amangalla ถูกออกแบบโดยมีจุดประสงค์ให้แขกผู้เข้าพักรู้สึกดี ผ่อนคลาย และเป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่ ภายใต้แนวคิด “Personalized Wellness Experience” ที่ให้ความสำคัญกับแต่ละบุคคล ทั้งการออกแบบห้องพักให้มีมุมส่วนตัว ที่รับแสงธรรมชาติ เฉลียงที่หันออกสู่ถนนที่มีผู้คนท้องถิ่นสัญจร เปรียบเสมือนการเชื่อมโยงชีวิตของแขกเข้ากับ วัฒนธรรมศรีลังกาอย่างกลมกลืน วัสดุภายในโรงแรมล้วนผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นไม้พื้นถิ่น เฟอร์นิเจอร์สั่งทำด้วยมือ ไปจนถึงกลิ่นหอมสมุนไพรพื้นเมืองที่ถูกนำมาใช้ในสปาและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกชนิด สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แขกได้สัมผัสประสบการณ์ที่แท้จริงของพื้นที่ และรู้สึกถึงความเป็น “บ้านที่สอง” ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสงบ บริการภายใน Amangalla ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพักผ่อนทางกายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการฟื้นฟูทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง ผ่านโปรแกรมสปาไสตล์ศรีลังกา ห้องอาบน้ำสมุนไพร ห้องซาวนา สระว่ายน้ำกลางสวน รวมถึงเมนูอาหารสุขภาพที่เน้นวัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่...

Read more →


ตอบรับ "เทรนด์ 2026" ด้วยดีไซน์ LGBTQ+ Friendly Hotel

ตอบรับ "เทรนด์ 2026" ด้วยดีไซน์ LGBTQ+ Friendly Hotel

#LGBTQHOTEL #GAYFRIENDLYHOTEL #NOBISHOTEL เมื่อพูดถึงหนึ่งในเทรนด์กลุ่มลูกค้าโรงแรมที่กำลังมาแรงในช่วงปลายปี 2025 นี้, “กลุ่ม LGBTQ+” เป็นกลุ่มที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก! หลังจากผลวิจัยที่ชี้ชัดให้เห็นถึงการเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ที่มาไทยกว่า 38% ! โรงแรมทั่วโลกได้เริ่มปรับตัวรับมือกับการมาของเทรนด์ระดับโลกนี้แล้ว! เคสศึกษาโรงแรมบูติคของวันนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นโรงแรมที่ ดึงดูด และ ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวนี้มากที่สุด นั้นก็คือโรงแรม NOBIS HOTEL NOBIS HOTEL เป็นโรงแรมบูติคที่ถูกรีโนเวทมาจากธนาคารเก่า ใน DENMARK สถาปนิกที่ออกแบบโรงแรมแห่งนี้ ได้เก็บโครงสร้างส่วนใหญ่เอาไว้ เว้นแต่เพดานที่ถูกทุบออก และขยายให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มกลิ่นอายของความหรู และความ luxury เข้าไปในฟิวล์ vintage ของธนาคารเก่าแห่งนี้ ก่อให้เกิดดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์โดยผสมผสานองค์ประกอบระหว่าง “เก่า” และ “ใหม่” อย่างไรก็ตาม จุดเด่นที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ นั้น ก็คือการเล่นกับดีไซน์พื้นที่, บรรยากาศ และ แสงนั้นเองครับ โรงแรม Nobis ใช้เทคนิคการวางแสงเพื่อทำให้พื้นที่และบรรยากาศนั้นดูน่าหลงไหล และให้ความรู้สึกน่าค้นหา การออกแบบตำแหน่งและลักษณะแสงนั้น ไม่เพียงแต่เพื่อกำหนดบรรยากาศ แต่เสริมเสน่ห์ให้พื้นที่โดยรวมด้วย ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของแขกที่เข้ามาพักในโรงแรม โดยเฉพาะในเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัดว่ามีการวางตำแหน่งแสงในจุดสำคัญต่างๆ เพื่อช่วยนำสายตา และการเคลื่อนไหวของแขกภายในพื้นที่ และยังช่วยลดความรู้สึกอึดอัดจากบริบทรอบข้างอีกด้วย ส่วนในช่วงกลางวัน แสงจากช่องเปิดต่างๆ ได้ถูกดีไซน์มาเพื่อส่องในพื้นที่เฉพาะเท่านั้น ทำให้เกิดแสงที่หนุ่มนวลแอบแฝงไปด้วยความเย้ายวนแม้ในช่วงกลางวัน นอกจากนี้ โรงแรมยังเลือกใช้การตกแต่งภายใน ในโทนสีเข้มที่เรียกว่า ‘Scandinavian Dark-Blonde’ เมื่อผสมผสานกับดีไซน์แสงภายในโรงแรมแล้ว, ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่าหลงใหลให้กับพื้นที่เดิมอีกด้วย!  Nobis Hotel คือภาพสะท้อนของยุคสมัยใหม่ ที่ซึ่งแสง สี และอารมณ์ กลายเป็นสื่อในการสร้าง “ความรู้สึก” ที่ทำให้เป็นที่ดึงดูดและน่าสนใจสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ สื่ออ้างอิง :https://globalnation.inquirer.net/.../thailand-embraces...https://wjarr.com/sites/default/files/WJARR-2024-3186.pdfhttps://www.nobishotel.dkhttps://www.worldrainbowhotels.com/.../nobis-hotel...https://thethaiger.com/.../thailands-lgbtq-tourism-surge... หากคุณกำลังมองหาความรู้ในการแปลงบ้านหรือตึกเก่าให้กลายเป็นธุรกิจบูติคโฮเต็ลที่สามารถทำกำไรสูง ฝากกดติดตามเพจเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล เพื่อไม่พลาดหลักสูตรการอบรมดีๆ หรือร่วมทริปดูงานบูติคโฮเต็ลระดับโลกกับเราได้  สำหรับท่านที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและต้องการหาความรู้เบื้องต้น เรากำลังจะจัดงานสัมมนา Bedtalk 2 : Trend and Design of...

Read more →


แปลงโฉม “โรงงานเก่า” ให้กลายเป็น โรงแรมบูติคยอดนิยม

แปลงโฉม “โรงงานเก่า” ให้กลายเป็น โรงแรมบูติคยอดนิยม

<< 𝗖𝗮𝘀𝗲 𝗦𝘁𝘂𝗱𝘆 บูติคโฮเต็ลระดับโลก >> *เนื้อหาบางส่วนจากสัมมนา 𝗕𝗲𝗱𝗧𝗮𝗹𝗸-𝗨𝗽𝗱𝗮𝘁𝗲 𝗧𝗿𝗲𝗻𝗱𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗼𝗳 𝗪𝗼𝗿𝗹𝗱𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀 𝗛𝗼𝘁𝗲𝗹 ที่จะจัด 24 - 25 มค. 2569 ที่ M Academy - Big C ราชประสงค์ ***แปลงโฉม “โรงงานเก่า” ให้กลายเป็นโรงแรมบูติคยอดนิยม โดยเฉพาะกลุ่ม 𝗟𝗚𝗕𝗧𝗤+, 𝗙𝗮𝗺𝗶𝗹𝘆, 𝗦𝘂𝘀𝘁𝗮𝗶𝗻𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 & 𝗟𝗼𝗰𝗮𝗹กับ 𝟮𝟱 𝗛𝗼𝘂𝗿𝘀 𝗛𝗼𝘁𝗲𝗹 𝗣𝗮𝗽𝗲𝗿 𝗜𝘀𝗹𝗮𝗻𝗱, 𝗖𝗼𝗽𝗲𝗻𝗵𝗮𝗴𝗲𝗻, 𝗗𝗲𝗻𝗺𝗮𝗿𝗸 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความหลากหลายของนักท่องเที่ยวได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ส่งผลต่อการออกแบบโรงแรมทั่วโลก บ้านเราเองก็เริ่มเห็นแนวโน้มนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ นักเดินทางสายรักษ์โลก และกลุ่มครอบครัว ซึ่งต่างมองหาโรงแรมที่สอดคล้องกับค่านิยมและไลฟ์สไตล์ของตนเอง  เทรนด์เหล่านี้ทำให้โรงแรมบูติกหลายแห่งเริ่มขยับออกจากการบริการแบบเดิม ๆ และหันมาใส่ใจเรื่องอัตลักษณ์ ความยั่งยืน และความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ 25 Hours Hotel Paper Island ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เดิมทีอาคารแห่งนี้ เคยเป็นโรงงานเก่าที่ถูกทิ้งร้างมาก่อน แต่ถูกเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรงแรมบูติกสุดแหวกแนว โดยใช้แนวคิด “บ้านพักตากอากาศสบาย ๆ” มาเป็นแรงบันดาลใจ ดึงดูดนักเดินทางรุ่นใหม่ รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มครอบครัว และผู้ที่สนใจเรื่องความยั่งยืน รวมถึงชาวเมืองท้องถิ่นเองด้วย โรงแรมนี้ถูกขนานนามว่า "Scandinavian Summer House" เพราะสะท้อนไลฟ์สไตล์แบบเรียบง่ายใจกลางเมืองใหญ่ พื้นที่ต่าง ๆ ถูกตกแต่งด้วยของสะสมที่มีธีมเฉพาะตัว บรรยากาศโดยรวมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าพักได้แสดงตัวตนอย่างเต็มที่ เป็นพื้นที่ที่อบอุ่น เป็นมิตร และต้อนรับทุกความหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งโรงแรมยังย้ำจุดยืนผ่านโฆษณา ที่เน้นข้อความว่า “Be Yourself” (เป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นใจ) ของตกแต่งภายในหลายชิ้นเป็นของที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ (upcycled) รวมถึงวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ก็ล้วนมา จากการรีไซเคิล...

Read more →


ทำเลไม่ดี ทำโรงแรมยังไงให้ขายดี

ทำเลไม่ดี ทำโรงแรมยังไงให้ขายดี

<< Case Study บูติคโฮเต็ลระดับโลก >> ทำเลไม่ดี ทำโรงแรมยังไงให้ขายดีถอดรหัส Salt & Sill โรงแรมลอยน้ำแห่งแรกของสวีเดน อีกหนึ่งโรงแรมที่น่าสนใจในทริปดูงานบูติคโฮเต็ลระดับโลกแถบสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์) ของเพจเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล คือ Salt & Sill โรงแรมลอยน้ำแห่งแรกของสวีเดนที่ตั้งอยู่ไกลเมือง ชนิดที่ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็จะเข้าถึงได้ยาก แต่กลับเปลี่ยนข้อจำกัดให้กลายเป็นจุดแข็งได้ แถมยังทำให้ขายได้ราคาดีอีกต่างหาก มาถอดรหัสกันว่า โรงแรมแห่งนี้ทำได้อย่างไร เมื่อพูดถึงคำว่า “ทำเลแย่” หลายคนมักนึกถึงพื้นที่ไกลเมือง ถนนแคบ ซอยลึก และหากไม่มีรถส่วนตัวก็เดินทางลำบาก ภาพของความไม่สะดวกเหล่านี้ ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่าทำเลแบบนี้ "ใช้ทำอะไรไม่ได้" หรือไม่ก็ "เหมาะกับการอยู่แบบจำยอมไปวันๆ" แต่ถ้าเราลองมองในอีกมุมหนึ่ง การที่ทำเลอยู่ห่างไกลจากเมือง หรือเข้าถึงได้ยาก อาจไม่ใช่จุดด้อยเสมอไป กลับกัน มันคือ “ตัวกรอง” ชั้นดี ที่ช่วยคัดกรองกลุ่มลูกค้าที่มีเป้าหมายชัดเจน ยกตัวอย่าง เช่น Salt & Sill เป็นโรงแรมที่อยู่ไกลเมือง ตั้งอยู่บนเกาะ Klädesholmen ซึ่งเป็นเมืองประมงเล็กๆ ทางตะวันตกของประเทศสวีเดน ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็จะเข้าถึงได้ยาก แต่นี่คือตัวกรองกลุ่มลูกค้าที่สำคัญ เพราะที่นี่ตั้งใจรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีรถขับเอง เช่น กลุ่มครอบครัว หรือคู่รักที่มาฮันนีมูนในช่วงฤดูร้อน ซึ่งสอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของโรงแรม ทุกองค์ประกอบของโรงแรมแห่งนี้ ล้วนออกแบบมาเพื่อเสริมประสบการณ์ให้กับกลุ่มลูกค้าเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นที่พัก กิจกรรม หรือแม้แต่เมนูอาหาร ก็ถูกออกแบบมาให้กลมกลืนกับวิถีชีวิตริมทะเลในแบบท้องถิ่นสวีเดน Salt & Sill เป็นโรงแรมลอยน้ำแห่งแรกของสวีเดน ห้องพักทุกห้องถูกสร้างบนแท่นที่ลอยอยู่เหนือน้ำ แขกสามารถอบซาวน่าในตัวโรงแรม แล้วกระโดดลงว่ายน้ำในน้ำเย็นจากธรรมชาติได้ทันที กิจกรรมแบบนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มครอบครัวและคู่รักที่มาพักผ่อนช่วงฤดูร้อน ซึ่งชื่นชอบความเป็นธรรมชาติและประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่น นอกจากนี้ ร้านอาหารของโรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ด้วยเมนูปลาแฮร์ริ่ง (Sillplankan) ที่ขึ้นชื่อ และอาหารพื้นเมืองของภูมิภาค Bohuslän ซึ่งช่วยเติมเต็มภาพของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบลึกซึ้ง นี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของโรงแรมที่เปลี่ยนข้อจำกัดให้กลายเป็นจุดแข็ง ทำให้ขายได้ราคาดี ที่คุณก็สามารถทำได้เช่นกัน หากคุณกำลังมองหาความรู้ในการแปลงบ้านหรือตึกเก่าให้กลายเป็นธุรกิจบูติคโฮเต็ลที่สามารถทำกำไรสูง ฝากกดติดตามเพจเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล เพื่อไม่พลาดหลักสูตรการอบรมดีๆ หรือร่วมทริปดูงานบูติคโฮเต็ลระดับโลกกับเราได้ สำหรับท่านที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและต้องการหาความรู้เบื้องต้น เรากำลังจะจัดงานสัมมนา Bedtalk 2 : Trend and...

Read more →