Kessara Boutique Historic Hotel "นอนบ้านไม้เก่ากลางสวนดอกไม้ แล้วย้อนเวลาไปใช้ชีวิตแบบสมัยรัชกาลที่ 5"

Worapan King

ยินดีต้อนรับกลับบ้าน

    เป็นคำที่ฟังแล้วแสนจะอบอุ่นหัวใจเมื่อได้ยิน เมื่อเรากลับไปยัง ‘บ้าน’ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สบายใจที่สุด และอบอที่สุด บ้านเปรียบเหมือนส่วนเติมเต็มอันแสนสำคัญในชีวิต ทั้งความต้องการขั้นพื้นฐาน คนสำคัญในครอบครัว รวมทั้งความทรงจำแสนหอมหวานเมื่อครั้งได้พักอาศัย
    สีลม คือหนึ่งในย่านการค้าสำคัญใจกลางมหานคร
    เราแทบไม่ต้องจินตนาการว่าย่านธุรกิจแห่งนี้จะวุ่นวายสักเพียงใด ในความวุ่นวายทั้งหมดนั้น หากตรงเข้าไปที่สีลมซอย 3 คุณอาจจะแปลกใจสักหน่อยที่ใจกลางซอยมี ‘บ้าน’ หลังหนึ่งตั้งเด่นสง่าท่ามกลางตึกสูง ร้านอาหาร ร้านค้า และความพลุกพล่านของผู้คน
    บ้านที่ว่าคือ Kessara Boutique Historic Hotel
ที่นี่คือโรงแรมที่ดัดแปลงจากบ้านเก่า ให้เกิดความคลาสสิกที่ผนึกรวมความ ‘เก่า’ แต่ ‘เก๋’

บ้านหลังน้อย ปลูกไว้คอยอยู่ปลายสวน

    ด้วยสัญชาตญาณของแม่บ้านการละคร การได้ก้าวเข้าไปในบ้านเก่าที่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นอาคารโรงแรมสองชั้น ฉันรู้สึกได้ลึกๆ ว่าตัวเองเป็นพะนอนิจในกาหลมหรทึก ฉันสัมผัสบรรยากาศความเก่านั้นได้อย่างชัดเจนด้วยโครงสร้างและการออกแบบที่แทบจะถอดแบบกันออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    พนักงานนำ Welcome Drink มาเสิร์ฟตรงหน้าฉัน มันคือน้ำมะตูมในแก้วกระเบื้องแบบโบราณ ความสดชื่นของน้ำมะตูมเย็นฉ่ำ ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายจากอากาศร้อนภายนอกได้เป็นอย่างดี
    ผู้เปลี่ยนบ้านเก่าหลังนี้เป็นโรงแรมคือคุณแพร พรรณฑิภา สายวัฒน์ Managing Director และคุณทอป ธนกร อุดมทรัพย์ Deputy Managing Director ของโรงแรม ทั้งคู่โคจรมาพบกันเมื่อเป็นนักศึกษาที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จวบจนทำงานอยู่ในบริษัทเอเจนซี่แห่งเดียวกัน คุณแพรลาออกมาก่อนด้วยเหตุผลที่อยากสร้างโฮสเทลเล็กๆ เป็นของตัวเอง เมื่อคุณแพรนำเรื่องนี้มาคุยกับคุณทอป ทั้งสองคนจึงตัดสินใจเริ่มโปรเจกต์นี้ด้วยกัน
    ไอเดียที่พักร่วมสมัยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่ิอคุณแพรเสนอเรื่องนี้กับที่บ้าน เธอได้รับการแนะนำว่าแทนที่จะไปหาอาคารพานิชย์ ทำไมไม่เอาบ้านเก่าที่มีอยู่แล้วมาใช้เสียเลย

หากว่าใครจะสร้างบ้านสักหลังหนึ่ง ไม่มีใครจะเริ่มต้นจากหลังคา

    จากคำสั่งเสียของคุณปู่คุณแพรที่ว่า “ห้ามยกให้ใคร ห้ามขาย ห้ามรื้อ ห้ามทุบบ้านหลังนี้” จึงไม่มีใครได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังนี้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
    “พอประตูเปิดออก เหมือนบ้านหลังนี้เรียกเรา เป็นรักแรกเลยแหละ เราปล่อยให้เขาเป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว เราอยากให้เขามีชีวิตขึ้นมาใหม่” คุณแพรเริ่มเล่าถึงที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้

    บ้านใจกลางสีลมซอย 3 หลังนี้ แต่เดิมเป็นของหลวงบุรีราชบำรุง (ชื่น เกษาศรัย) หนึ่งในทหารเอกผู้ร่วมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระยาสุรศักดิ์มนตรีในสมัยรัชกาลที่ 5 ในครั้งที่ยังมีการรบอยู่ คุณหลวงได้รับที่ดินผืนนี้เป็นการตอบแทน เนื่องด้วยสมัยก่อนหากใครทำดี จะไม่มีการตบรางวัลด้วยเงินเหมือนดังในปัจจุบัน แต่จะได้รับอสังหาริมทรัพย์ในรูปของที่ดินเป็นของกำนัล
    ย่านสีลมแต่เดิมที่ดินเป็นของพระยาสุรศักดิ์มนตรี ในยุคก่อนจรดต้นซอยถึงท้ายซอยสีลม 3 จะประกอบไปด้วยบ้านเรือนเล็กใหญ่แตกต่างไป คุณหลวงอาศัยอยู่ในย่านนี้ชั่วชีวิต กระทั่งบ้านหลังนี้เปลี่ยนผ่านเจ้าของจนกลายเป็นทรัพย์สินของคุณปู่คุณแพร
    เมื่อตัดสินใจชุบชีวิตบ้านเก่าที่มีอายุกว่า 5 แผ่นดิน คุณแพรจึงต้องหาข้อมูลอย่างหนักเพื่อได้มารายละเอียดที่จะปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเริ่มต้นจากการค้นหาข้อมูลจากโฉนดที่ดิน สู่การสืบข้อมูล   เพิ่มเติมจากพิพิธภัณฑ์บางกอก และขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ที่กรมศิลปากร จนทราบว่าบ้านหลังนี้เป็นทรง ‘ขนมปังขิง’ หรือแบบวิคตอเรียของอังกฤษ ด้วยโครงสร้างของบ้านที่ดีอยู่แล้ว คุณแพรจึงตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เนื่องจากเป็นเงื่อนไขร่วมกันระหว่างคุณแพรและกรมศิลปากร
    การปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่นี้ใช้เวลาพอสมควร มีกระบวนการเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเสริมความแข็งแรงให้บ้านตามการก่อสร้างในปัจจุบัน การออกแบบภายในและปรับเปลี่ยนรูปแบบการวางห้องต่างๆ ให้เหมาะสมต่อการดัดแปลงเป็นโรงแรม และรักษาลักษณะบ้านแบบขนมปังขิงนี้ให้คงเดิมมากที่สุด

แก้วน้ำจานชาม บันได โคมไฟที่สวยงาม

    ก่อนที่ฉันจะได้ขึ้นไปยลโฉมห้องพัก คุณแพรและคุณทอปชวนฉันแวะมาดู ‘ตู้โชว์’ ที่อยู่ใกล้บันไดทางขึ้น ภายในตู้โชว์นั้นต่างมีสิ่งของหลายอย่างที่ถูกนำมาวางประดับตกแต่งไว้ บางส่วนเป็นของเก่าโบราณที่ถูกขุดเจอนับแต่วันแรกในการมาเยือนบ้านของทั้งสอง ทั้งขวดสุราเก่าที่เจอในห้องใต้บันได ขวดยาเก่า จาน ชาม กระเบื้อง     โมเสกโบราณที่ไม่มีเส้นเอ็นเชื่อมโยงให้เป็นแผ่นเดียวกัน ทะเบียนรถเก่าที่ตัวเลขอาจจะเลือนหายไปแล้ว (ซึ่งแม่บ้านของโรงแรมเคยเอาเลขต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรงแรมทั้งเลขที่บ้าน เลขทะเบียนรถไปตีความเป็นเลขท้ายสองตัวบ้าง สามตัวบ้าง แล้วดันถูกรางวัลด้วยนะเออ) รวมไปถึงกลอนประตู หรือส่วนประกอบอื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 5

    ภายในตู้โชว์มีภาพถ่ายสองภาพถูกจัดเอาไว้ ภาพหนึ่งเป็นภาพถ่ายที่แสดงถึง ‘วันแรก’ ที่ทั้งสองได้มาดูบ้าน ซึ่งเป็นบ้านที่มีสภาพถูกทิ้งร้างกว่า 50 ปี

    อีกภาพหนึ่งเป็นภาพเสาสรไนย ที่ถูกติดตั้งบนหน้าจั่วของบ้าน  เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเจ้าของบ้านนั้นมียศ ‘คุณหลวง’ ขึ้นไป

พักกายพักใจ หลับตานอนฝันดี

    บ้านสองชั้นจากเดิมที่มีเพียง 5 ห้อง ถูกแบ่งสรรปันส่วนจนได้ห้องพัก 7 ห้องที่มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป   ชั้นล่าง 2 ห้อง และชั้นบน 5 ห้อง โดยคอนเซปต์แรกของการออกแบบที่คุณทอปได้ทำงานร่วมกับทีมออกแบบภายใน คือความเป็นธรรมชาติเหมือนนอนพักที่บ้านเพื่อน มีความอบอุ่น แต่ไม่ได้เป็นทางการมากจนเกินไป คาแรคเตอร์ของบ้านคือ ‘ผู้หญิง’ พร้อมใส่ลูกเล่นที่เกี่ยวกับ ‘ดอกไม้’ ที่สามารถเป็นตัวกลางในการเชื่อมยุคสมัยจากอดีตถึงปัจจุบันได้อย่างลงตัว

    ทุกห้องจะมีชื่อดอกไม้เป็นชื่อประจำห้อง โดยชั้นล่างจะเป็นชื่อดอกไม้ไทยโบราณในกิจกรรมทั่วไป คือนวลจันทร์และนวลตอง ทั้งสองห้องสามารถมองเห็นวิวสวนด้านนอกได้อย่างชัดเจน ส่วนชั้นบนจะเป็นชื่อดอกไม้ที่ใช้ในพระราชพิธีหรือกิจกรรมสำคัญในอดีต ประกอบด้วยดาราพรรณาราย นภาพราว มัลลิกา บัวฉลองขวัญ และแก้วเจ้าจอม ซึ่งแต่ละห้องจะมีการใช้โทนสีและรูปแบบการตกแต่งที่สอดคล้องกับสีของดอกไม้ประจำห้องอีกด้วย

ภายในยังคงเน้นบรรยากาศความเก่าที่สอดคล้องไปกับตัวบ้าน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เทคนิคไม้ขัดสีแบบโบราณ เก้าอี้หวาย เครื่องสุขภัณฑ์ ทั้งก็อกน้ำหรือฝักบัวทองเหลือง อ่างอาบน้ำทรงเก่า แต่ยังคงรวมเอาความสะดวกสบายแบบสมัยใหม่ ทั้งเตียงและที่นอนสั่งทำพิเศษเพื่อความเคยชินของชาวต่างชาติที่คุ้นเคยกับการนอนสูง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน

ห้องแก้วเจ้าจอม ไฮไลต์หลักของโรงแรมซึ่งเป็นห้องที่กว้างที่สุด สามารถมองเห็นวิวที่ดีที่สุดได้จากระเบียงในตัวห้อง และต้นแก้วเจ้าจอมซึ่งเป็นต้นไม้เดียวกับชื่อห้อง

ห้องมัลลิกา เป็นห้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยราคาที่ย่อมเยาว์ และห้องน้ำที่เปิดหน้าต่างได้ เป็นที่ชอบอกชอบใจของผู้เข้าพักชาวต่างชาติ บางทีแขกมักจะเปิดหน้าต่างพร้อมไปกับการอาบน้ำ เป็นบรรยากาศที่ดีไม่หยอก

ห้องดาราพรรณราย ห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีชมพู มีระเบียงที่เป็นระเบียงเดิมก่อนปรับปรุงที่เห็นลายโครงสร้างเก่าของบ้าน สามารถก้มลงแล้วมองเห็นดอกดาราพรรณรายที่ปลูกไว้ในสวนของโรงแรมอีกด้วย

ที่ตรงนี้นั้นมีต้นไม้ มีร่มเงาให้นอนสบายพักผ่อน

    จากชื่อห้องพักชั้นสองของโรงแรม คุณแพรและคุณทอปได้พยายามหาพรรณไม้ที่มีชื่อเดียวกับห้องพักมาปลูกและประดับไว้ในสวนซึ่งเป็นพรรณไม้ไทยทั้งหมด (ต้นแก้วเจ้าจอมปลูกยากมากนะจะบอกให้) นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้ไทยที่ส่งกลิ่นหอมสลับช่วงเวลาตลอดทั้งปี ทั้งต้นโมก ดอกแก้วหิมาลัย ต้นหมาก เป็นต้น

    ด้านข้างของโรงแรมเป็นลานปูน สามารถจัดงานแต่งงานที่จุคนได้ 50 – 70 คน (สำหรับกิจกรรมอื่นๆ สามารถสอบถามรายละเอียดกับทางโรงแรมได้โดยตรง) หรือในช่วงเวลาที่ไม่มีการจัดงาน จะมีแขกของโรงแรมใช้เวลาส่วนตัวในการอ่านหนังสือ สัมผัสกับพื้นที่สีเขียวที่จัดสรรเอาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

    จากการเปิดแบบ Soft Opening ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากแขกผู้เข้าพักและนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาในละแวกนั้น มีการขอเข้ามาแวะเวียน เยี่ยมชม ถ่ายภาพ จนคุณแพรและคุณทอปผุดแนวคิดที่อยากให้แขกไปใครมาได้มาสัมผัสบรรยากาศบ้านเก่าแบบที่ไม่ต้องเข้าพัก จึงเกิดเป็นช่วงเวลาพิเศษแบบอังกฤษที่เรียกว่า Afternoon Tea เป็นการจัดเบรคน้ำชาทั้งในแบบชาอังกฤษ​ และชาของไทย เช่นชาดอกบัวแห้ง ชากุหลาบ ชาตะไคร้ ชาดอกลิลลี่ พร้อมกับขนมทั้งสองรูปแบบ ผู้สนใจสามารถเข้ามาใช้บริการได้ตั้งแต่เวลา  14.00 – 17.00 น. โดยจะเปิดให้บริการพร้อมกับการ Grand Opening และการเปิดตัวร้านอาหารไทยของโรงแรมในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้

การมาเยี่ยมเยือนโรงแรมแห่งนี้ ฉันไม่ได้สัมผัสเพียงแต่ความเป็นที่พักเท่านั้น

ฉันสัมผัสถึงความตั้งใจของการย้อนเวลา และหยุดเวลา

ย้อนเวลากลับไปหาอดีตที่ใครอาจไม่เคยเห็น ให้เกิดขึ้นได้จริงในห้วงปัจจุบัน

หยุดเวลาแห่งภาพอดีต ไม่ให้ล่วงเลยไปตามกฎของเวลา

ยินดีต้อนรับกลับบ้าน

Kessara Boutique Historic Hotel
ที่อยู่  : 38 ซ.สีลม 3 (พิพัฒน์) ถ.สีลม บางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
ราคา : 2,500 – 7,500 บาท
Facebook : Kessara Hotel
www.kessarahotel.com
เบอร์ติดต่อ : 02-0910659

แหล่งข่าว : The Clound



Older Post Newer Post