4 คำถาม ที่ต้องตอบให้ได้ก่อนลงมือ ทำธุรกิจบูติคโฮเต็ล และโฮสเทล

Vtac Collaborator

ในโลกนีมีที่พักหลากหลายรูปแบบ ในบทนี้เราจะมาทําความรู้จักกับที่พักประเภท ต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าที่พักแบบไหนตรงกับทักษะและวิสัยทัศน์ในธุรกิจของคุณ ก่อนการลงทุน คุณควรรู้ข้อมูลภาพกว้างทั้งหมด เพื่อให้เลือกรูปแบบที่สามารถทําได้ดีที่สุดและน่าจะขาย ได้ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเริ่มคิดที่จะลงทุนอย่างจริงจัง มี 4 คําถามที่คุณจําเป็นต้อง ตอบให้ได้ ก่อนตัดสินใจลงมือทํา (หรือไม่ทํา) ธุรกิจนั้น

4 คำถาม ก่อนลงมือทำธุรกิจ

 

คําถามแรกคือ WHAT (อะไร) เช่น ทําที่ไหนดี / ลงทุนเท่าไรดี / ทําสไตล์ไหนดี / ลูกค้าแบบไหนจะมาพัก / ทําแล้วจะขายได้มั้ย / แล้วถ้าขายไม่ได้ล่ะ ฯลฯ
นี่คือคําถามในชุดแรกเมื่อคุณ "คิด” ที่จะทําธุรกิจเป็นช่วงที่คุณจะสนุกกับการหาข้อมูลเชิงกว้างมากมาย เช่น ไปดูทําเลต่างๆ และสิ่งที่คุณควรทําที่สุดในช่วงนี้คือ การลงทุนหาข้อมูลคู่แข่ง โดยลองไปพักดูโรงแรมที่ทําสําเร็จแล้วที่คุณชื่นชม อยากทําตาม หรืออยากเป็นคู่แข่ง รวมถึงไปพูดคุยกับเจ้าของที่ประสบความสําเร็จให้มากที่สุด
ในช่วงนี้คนที่คุณต้องการคือ เพื่อนที่มีความฝันเดียวกันไว้ร่วมเดินทาง ดูงาน และหาข้อมูลแลกเปลี่ยนกัน เพราะการไปดูงานนั้นถ้ามีสองคนจะสามารถช่วยสอบถามเก็บข้อมูลถ่ายรูปในมุมมองที่แตกต่างกัน รวมถึงช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายด้วย
บางคนถึงกับลงทุนไปฝึกงานโดยไม่ได้เงินเดือน หรือลองไปทำงานกับสถานที่ที่ชื่นชม ซึ่งอาจจะเป็นบูติคโฮเต็ลหรือโฮสเทล ทั้งในหรือต่างประเทศที่หลายแห่งมีโปรแกรมในการรับพนักงานฝึกงานด้วย
ตัวผมเองที่เริ่มทำ “สามเสน 5 ลอด์จ” นั้น ได้ลองไปนอนพักที่พักต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันหลายสิบแห่ง นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะได้เรียนรู้โดยตรง เนื่องจากสมัยนั้นไม่มีใครมาสอนหรือเขียนหนังสืออธิบาย ที่สำคัญคือได้รู้จักกับเจ้าของที่พักจํานวนมาก จนหลายคนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี

ต่อมาเมื่อคุณต้องเริ่มควักเงินจ่ายจริง เกิดการลงทุนจริง เจ็บจริง จะเกิดคำถาม WHY (ทำไม) ขึ้นมา
เป็นช่วงที่คุณต้องนั่งนิ่งๆ แล้วถามตัวเองจนแน่ใจว่า เราจ่ายเงินไปทําไม / เราทําสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร / มันคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ฯลฯ
ช่วงนี้มีความสําคัญที่สุด คุณสมควรต้องใช้เวลาใคร่ครวญกับคําถามนี้ให้มากๆ ว่า “ทําไม"คุณถึงอยากทําธุรกิจนี้ บางคนทําเพราะมีตึกว่างอยู่ บางคนทําเพื่ออิสรภาพในชีวิต บางคนทําเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น บางคนอยากรวย บางคนอยากพิสูจน์ตัวเอง บางคนอยากทําธุรกิจที่สามารถใช้เวลาร่วมกับครอบครัวได้ บางคนทําเพื่อให้เป็นทางออกของชีวิต ฯลฯ
ในหัวของคุณจะวนเวียนอยู่กับความคิดเหล่านี้ เช่น สิ่งที่ฉันอยากลงทุน ทำได้ยาก แต่สิ่งที่ทํายากมักโดดเด่นและขายได้ราคาดีเสมอ สรุปแล้วควรจะลงทุนไหม? แล้วถ้าจําเป็น ต้องลงทุนในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่น่าจะขายดีล่ะ จะยังทําไหม? ถ้าทําแล้วไม่ดัง หรือขายไม่ได้ จะมี ทางออกที่สองอย่างไร? ถ้าทําแล้วไม่ชอบ แม้อาจขายดีก็ตาม จะมีทางออกอย่างไร? ฯลฯ
มีประโยคหนึ่งอธิบายคำถามเรื่อง WHY ได้ดีมาก ประโยคนี้คือ “the Bigger Why, the Easier How”
แปลว่าถ้าสาเหตุที่ทําให้คุณต้องทํายิ่งมีความสําคัญมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งสามารถทํามันได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น
อธิบายให้ละเอียดได้ว่าถ้าสาเหตุที่คุณทําธุรกิจเป็นสาเหตุเล็กๆ มีความสําคัญแค่กับตัวคุณเอง เช่น ทําเพราะมีบ้านว่าง ทําเพราะอยากรวย แรงผลักดันในการลงมือทําก็จะเล็กไปด้วย คุณจะดึงดูดคนในระดับธรรมดา ทําก็ดี ไม่ทําก็ได้เข้ามาหาคุณ
แต่ถ้า WHY หรือสาเหตุที่คุณลงมือทํายิ่งใหญ่ท้าทายมีความสําคัญกับทั้งตัวคุณเอง และชีวิตคนอื่นด้วยแรงผลักดันในการกระทําของคุณจะสูงขึ้น ทรงพลังขึ้นและคุณก็จะดึงดูด คนที่มีแรงผลักดันสูง และคนที่ต้องการความสําเร็จในระดับเดียวกันให้เข้ามาหาคุณ คุณจะลงมือทำในสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกฎของแรงดึงดูด (Law of Attraction)

     ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ย่อมไปสู่ผู้มีศรัทธาและลงมือทำเท่านั้น

ในช่วงที่ตั้งคําถามว่า "อะไร” เป็นช่วงที่คุณต้องมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่อยู่ภายนอกตัว แต่สําหรับช่วงคําถามว่า “ทําไม” เป็นช่วงเวลาที่คุณต้องกลับเข้ามาหาสิ่งที่อยู่ ภายในตัวคุณทั้งหมด แล้วฟังเสียงของจิตวิญญาณภายในที่จะบอกกับคุณว่าจะทําอะไร เป็นช่วงที่คุณต้องวางข้อมูลทั้งหมดลงแล้วฟังเสียงจากภายในเท่านั้น โดยมีขั้นตอนในการ สื่อสารกับจิตวิญญาณภายใน ดังต่อไปนี้
     นั่งเงียบๆ คนเดียว ปล่อยจิตให้ว่าง ฟังเสียงภายในตัวคุณ ถ้าคุณไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่ ให้เริ่มจากการตัดสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของคุณออกก่อน จนเหลือเพียงสองตัวเลือกสุดท้าย แล้วถามจิตวิญญาณภายในตัวคุณว่า
- “ถ้าเราไม่ทําสิ่งนี้แล้วเรารู้สึกอย่างไร”
- “สิ่งที่เราเลือกทํา ทําให้เรารู้สึกอย่างไร ตื่นเต้นหรือปกติ"
- “สิ่งที่เราเลือกทํามีเจตนาดีหรือไม่ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากหรือไม่”

      ไปในสถานที่ที่คุณกําลังจะลงทุนใน 4 ช่วงเวลา คือ เช้าตรู่ (การเริ่มต้นชีวิต) ตอนสาย (การเติบโต) ตอนบ่ายแก่ (การเจริญเต็มที่) และตอนดึก (การสิ้นสุด) ในการไปทุกครั้งให้ปล่อยวาง เคารพในทุกที่ที่คุณไปในทุกทําเลที่คุณดู พยายามเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมให้ได้ทั้งคน สิ่งของ และสถานที่ เพราะสินทรัพย์และทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่ใช่แค่คุณที่จะเลือกสิ่งต่างๆ แต่สิ่งเหล่านั้นก็เลือกคุณด้วยเช่นกัน โลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญเมื่อทั้งสองสิ่งตกลงเลือกกันและกันแล้ว การเริ่มต้นลงมือทําร่วมกัน จึงเกิดขึ้นได้

เมื่อคุณเคารพและฟัง คุณจะได้ยินเสียงที่ไม่มีคนพูด จะได้เห็นในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น จะคิดได้ในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิด ที่จะช่วยให้คุณเห็นการเชื่อมโยงทั้งหมดอย่างง่ายดาย มาร์ค ทเวน นักประพันธ์ชื่อก้องบอกว่า “The two most important days in your life are the day you are born and the day you find out why.” หรือ “วันที่สําคัญ ที่สุดในชีวิตของเรามีสองวัน คือ วันที่เราเกิด และวันที่เรารู้ว่าเกิดมาทําไม
เมื่อคุณได้ WHY ที่ชัดเจนแล้ว ให้เชื่อมั่นและใช้คําตอบนั้นเป็นกรอบความคิดทั้งหมด และจากนี้ต่อไปการตัดสินใจเลือกลงมือทําสิ่งใดก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นไม่ช่วยให้ WHY ของคุณไปสู่เป้าหมาย จงอย่าทําเช่นเดียวกันถ้าคุณไปถึง WHY ได้โดยไม่ต้องทําสิ่งนั้นก็จงอย่าทําสิ่งนั้น เช่นกัน

เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มดําเนินไปแล้ว WHY จะถูกถามทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า และมันจะย้อนกลับไปช่วยให้ WHAT ของคุณมีความชัดเจนขึ้น ในช่วงนี้คนที่คุณต้องการคือ พี่เลี้ยง (Mentor) ที่รู้จักธุรกิจนั้นๆ เป็นอย่างดี ที่จะ ช่วยแนะนําคุณได้ในทุกเรื่อง

เมื่อมี WHAT และ WHY ที่จัดเจนแล้ว คําถามต่อไปที่คุณต้องถามตัวเอง คือ HOW (อย่างไร) เพื่อที่จะทําให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย
อะไรคือเป้าหมายในธุรกิจของคุณ ความร่ํารวย ชื่อเสียง การได้ทําในสิ่งที่ชอบการได้เป็นนายตัวเองหรือการได้อยู่กับครอบครัว เพื่อให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนั้นคุณต้องเรียนรู้ถึงโครงสร้างและช่วงอายุของธุรกิจ ซึ่งมีดังนี้

     โครงสร้างของวงจรชีวิตธุรกิจ

โครงสร้างของวงจรชีวิตธุรกิจนั้นมี 4 ช่วงและแต่ละช่วงมีจุดที่จะต้องให้ความสําคัญต่างกันไป คือ
1. การถือกําเนิด คือ การเข้าสู่ธุรกิจ สิ่งที่จะต้องให้ความสําคัญคือ การสร้างจุดขาย ที่โดดเด่น ซึ่งจะได้มาจาการตั้งคำถามว่า What, Why และ How สินค้าที่มีจุดเด่นจริงๆ มีคุณค่าและไม่เหมือนใคร ย่อมเข้าสู่ตลาดได้โดยง่าย
2. การเติบโต คือ การสร้างธุรกิจในช่วงแรก สิ่งที่จะต้องให้ความสําคัญคือ แบรนดิ้งการตลาดและระบบ เพื่อที่จะสื่อสารจุดเด่นของเราไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุด และบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การเจริญเต็มที่ คือ ช่วงที่ธุรกิจเติบโตถึงจุดสูงสุด สิ่งที่จะต้องให้ความสําคัญ คือ ระบบบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ การลดค่าใช้จ่าย การจัดการคน เป็นต้น เพื่อที่จะรักษาจุดขายนี้เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด
4. การเสื่อมถอย คือ การเตรียมตัวที่จะขาย เซ้ง หรือหาผู้ที่จะมารับช่วงต่อในขณะที่ธุรกิจยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งจะทําให้ผู้ก่อตั้งสามารถหากําไรครั้งสุดท้ายได้ก่อนที่จะแยกตัวออกมา สิ่งที่จะต้องให้ความสําคัญคือ ระบบที่ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทําซ้ำได้ และแบรนดิ้งของสินค้า

เมื่อเห็นภาพรวมของโครงสร้างแล้ว คุณจะสามารถโฟกัสได้ว่า ช่วงไหนควรให้ความสําคัญกับอะไรมากที่สุด สิ่งที่ผู้ลงทุนมักพลาดในธุรกิจบูติคมี 2 ช่วง ก็คือ ช่วงเข้าสู่ธุรกิจที่ไม่ได้สร้างจุดขายที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าอย่างแท้จริง ทําให้ต้องเข้าสู่วงจรอุบาทว์ ในการแข่งขันกันตัดราคา และอีกช่วงคือช่วงที่จะออกจากธุรกิจการวาง โครงสร้างที่ดีมีระบบบัญชีและเอกสารที่ถูกต้อง จะช่วยให้เราออกจากธุรกิจที่สร้างขึ้นได้อย่างมีความสุข เพราะมีคนทําธุรกิจของเราต่อ และมีกําไรที่เราสมควรจะได้รับจากความพากเพียร ในการก่อตั้ง อีกด้วย

“อย่ารอให้พร้อมสมบูรณ์แล้วจึงลงมือทํา แต่จงลงมือทําเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์พร้อม”
ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจสร้างสรรค์ที่ต้องการระยะเวลาในการคิดและการลงมือทํา ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบจนกว่าจะได้ลงมือทํา แล้วค่อยๆ ปรับไปตามความเหมาะสม
ผู้ที่ประสบความสําเร็จทุกคนเมื่อเห็นภาพธุรกิจชัดเจน ล้วนลงมือทําอย่างรวดเร็ว บนสภาพที่เต็มไปด้วยข้อจํากัดด้านทําเล เงินลงทุน หรือความรู้ ผู้ที่ลงมือช้ายิ่งเกิดมูลค่าการเสียโอกาสทางธุรกิจ พร้อมกับค่าเช่าที่ดิน ราคาซื้อขาย และค่าก่อสร้างที่มีราคาแพง ขึ้น 10-15 เปอร์เซ็นต์ทุกปี
ในธุรกิจนี้ เงิน ประสบการณ์ ความสวยงาม รวมถึงทําเลที่ตั้งไม่ใช่องค์ประกอบหลักของความสำเร็จ แต่ความปรารถนาและความเชื่ออย่างแรงกล้า จะทำให้คุณมองเห็นแผนการและขั้นตอนต่างๆ ที่จะนําความสําเร็จมาให้กับคนที่ลงมือทําเท่านั้น

    "การลงทุนที่พักสร้างสรรค์ ให้ประสบความสำเร็จนั้น ผู้ลงทุนต้องสามารถผสมผสานจุดเด่น ของหลายธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยยืดหยุ่น พลิกแพลง ไม่ยึดติด จนเกิดรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละทำเล สภาพแวดล้อม และเหมาะกับทักษะของนักลงทุนแต่ละคน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเห็นภาพอย่างชัดเจนและเชื่อในสิ่งที่ทำอย่างแรงกล้า ถ้าหวังผลลัพธ์ระดับปาฏิหารย์ ต้องกล้าลงมือทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ เมื่อทำได้เช่นนี้แลว ย่อมสามารถเนรมิตเพชร ขึ้นมาจากโคลนตมได้"



Older Post Newer Post