จากตัวเลขของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ระบุจำนวนนักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ ที่เข้ามาไทยในห้าเดือนแรกของปีนี้ พบว่า คนจีนและมาเลเซีย เข้ามามากที่สุด แต่ที่ใช้เงินมากที่สุดคือ จีน และ รัสเซีย ที่สำคัญคือ ตัวเลขการเติบโตของจำนวน นทท. มาเลเซียนั้นอยู่ในระดับสูงมาก (เพิ่มขึ้นเกือบ 20%) นี่จึงเป็นโอกาสดี ที่ผู้ประกอบการ จะได้นำมาสร้างเป็นแผนการตลาดเพื่อดึงดูดใจลูกค้าเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบ F.I.T (Free Individual Traveler หมายถึง นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพักตามลำพัง จองประมาณ 1-2 ห้อง ซึ่งจะตรงข้ามกับ G.I.T (Group Individual Travellers)
เพราะถึงแม้ว่าประเทศไทย จะเป็นตลาดที่คนต่างชาตินิยมมาเที่ยวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ถ้าหากธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่มีการพัฒนาปรับตัว ก็อาจจะทำให้เสียโอกาสได้ส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวให้กับประเทศใกล้เคียงได้ง่ายๆ และนี่ก็เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้โรงแรมของคุณเจาะตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
เว็บไซต์ที่มีภาษาจีน-มาลายู และพนักงานโรงแรมที่พูดภาษาได้
การเพิ่มภาษาลงในเว็บไซต์โรงแรม จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบ F.I.T มีแนวโน้มจะพักกับคุณมากขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงพนักงานโรงแรมที่สามารถพูดภาษาจีนได้ เพราะการสื่อสารแบบตัวต่อตัวยังเป็นสิ่งสำคัญ และถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่คนโรงแรมจะพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีทักษะทางด้านภาษาเพิ่มขึ้น
-
จับมือกับตัวแทนจากประเทศนั้นๆ
ร่วมมือกับตัวแทนนำเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ฝากประชาสัมพันธ์เวลาที่มีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ใกล้โรงแรม บริการเปิดใหม่ของโรงแรม หรือแม้แต่มีโปรโมชั่นใหม่ๆ มานำเสนอ ประชาสัมพันธ์ให้ตัวแทนของฝั่งประเทศจีนรับรู้ว่าอะไรที่คุณต้องการนำเสนอ จะได้เอางบทางการตลาดไปลงให้ถูกที่ถูกทาง
-
การจ่ายเงินผ่าน Alipay หรือ WeChat pay
นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกแล้ว ยังถือเป็นการก้าวให้เหนือคู่แข่ง และก้าวเข้าสู่การแข่งขันในตลาดจีนแบบเต็มตัวเลยทีเดียว ถ้าอยากจะให้นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายให้มากขึ้น นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายของโรงแรมได้เป็นอย่างดี
-
อาหารไทย และผลไม้ (โดยเฉพาะทุเรียน)
อาหารไทยเป็นที่นิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวจีนอย่างผัดไทย ส้มตำ ก็ถือเป็นอาหารหลักที่เป็นจุดมุ่งหมายของคนจีน และผลไม้ที่เป็นที่นิยมที่สุด ก็คือ ทุเรียน ถ้าโรงแรมของคุณมีร้านอาหาร ลองใส่เมนูผลไม้และขนมหวานที่มีทุเรียนดู เพราะที่จีนถึงกับมีร้านของหวานที่มีเมนูทำจากทุเรียนโดยเฉพาะ เช่น ทุเรียนอบ พายทุเรียน ทาร์ตทุเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้สิ่งที่คาดหวังจากประเทศไทยก็คือ การทำสปาเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายจากการเดินทางท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพบำบัด เพราะการนวดแผนไทยก็มีชื่อเสียงในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
-
อินกับเทศกาลของชาตินั้นๆ
เช่น โรงแรมอาจจะต้องศึกษาวัฒนธรรมของประเทศจีนเยอะหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลตรุษจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่คนไทยเชื้อสายจีนน่าจะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เพียงแต่โรงแรมเอามาขยายใหญ่ขึ้น ให้มีกิจกรรมที่สามารถทำที่โรงแรมได้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย หรือคนจีนที่มาเที่ยวในประเทศไทยก็สามารถเข้าร่วมงานได้ เช่น วันคริสต์มาสอีฟ คนจีนจะเรียกว่า คืนแห่งความสงบสุข และจะมอบแอปเปิ้ลที่ตกแต่ง หรือห่อของขวัญให้สวยงาม(สามารถเพิ่มราคาได้) เพื่ออวยพรให้คนที่ได้รับพบแต่สิ่งที่ดี ชีวิตราบรื่น สงบสุข เป็นต้น
ตอนนี้แนวโน้มของตลาดบูติกโฮเต็ลถือว่าดีมาก มีปัจจัยบวกสามข้อ ข้อแรกได้แก่การลงทุนของสายการบิน มีโลว์คอสต์เปิดเส้นทางเยอะมากโดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ข้อสองก็คือมีกฎหมายรองรับโรงแรมขนาดเล็กออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 เป็นกฎกระทรวงว่าด้วยการเปลี่ยนอาคารประเภทอื่นเป็นโรงแรม สาระคือเรื่องความต้องการพื้นที่ที่ต่ำลงในการทำโรงแรม ล่าสุด นโยบาย Thailand 4.0 ธุรกิจบูติกโฮเต็ลกับโฮสเต็ล เป็นธุรกิจ SME ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมากจริงๆ ข้อสุดท้ายคือ เทรนด์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ทุกคนอยากไปนอนโรงแรมเก๋ๆ และคนรุ่นใหม่อยากเป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น คือ ถ้ากลับไปบ้านตัวเอง เปิดบ้านเป็นโรงแรม ใช้เทคโนโลยีช่วย มีออนไลน์เอเจนซี่ ทำให้เปิดที่บ้านได้เลย ทำให้มีศักยภาพสูงมากทั้งในระดับรัฐบาลและปัจเจก อนาคตถือว่าค่อนข้างสดใสมาก
ปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้
จุดแข็งของโรงแรมขนาดเล็กคือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (Human Touch) และประสบการณ์ดั้งเดิม (Original Experience) ในขณะที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยี แต่บางสิ่งต้องเข้าถึงด้วยมนุษย์เท่านั้น ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าขึ้นมา คุณต้องจับเอกลักษณ์ของตัวเองให้ได้ว่าในพื้นที่ของตัวเองมีความพิเศษอะไร และดันออกมาให้ได้ นำเสนอมุมมองที่แปลกและแตกต่างจากโรงแรมขนาดใหญ่อื่นๆ
.