“โรงแรมเล็กห้ามพลาด เตรียมรับโอกาส 25 ล้านคน” เมื่อไทยคือจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

Worapan King

Euromonitor เว็บไซต์การตลาดระดับโลก ได้เผยอันดับเมืองจุดหมายปลายทาง ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมากที่สุดในโลก ในปี 2018 โดยกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถูกจัดเป็นอันดับที่ 2 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 23.7 ล้านคน และอันดับที่ 1 เป็นฮ่องกง จำนวนนักท่องเที่ยว 29.8 ล้านคน ปริมาณการจราจรทางอากาศทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีและในปี 2018 ก็ไม่มีข้อยกเว้น
Euromonitor
งานวิจัยของ
Euromonitor International ครอบคลุม 600 เมือง ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 5% ในปีนี้ ซึ่งปี2019นี้ คาดว่าประเทศไทยน่าจะแตะหลัก 25 ล้านคนเลยทีเดียว เอเชียยังคงเป็นผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในการจัดอันดับโดย 41 ใน 100 เมืองชั้นนำที่อยู่ในทวีป กรุงเทพฯครองอันดับที่ 2 ในการจัดอันดับ โดยที่ สิงคโปร์ มาเก๊า กัวลาลัมเปอร์และเซินเจิ้น ล้วนติดอันดับท็อป 10 ซึ่งที่น่าจับตาคือ ญี่ปุ่นและอินเดีย ที่มีการเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า เมืองต่างๆ เช่น โอซาก้าและชิบะ เติบโตเฉลี่ยปีละ 43% และ 35% ตามลำดับระหว่างปี 2555-2560

Top 20 เมืองที่มีคนเดินทางมากที่สุด 2018

1.     Hong Kong: 29,827,200

2.    Bangkok, Thailand: 23,688,800

3.    London, England: 20,715,900

4.    Singapore: 18,551,200

5.    Macau: 18,931,400

6.   Paris, France: 16,863,500

7.    Dubai, United Arab Emirates: 16,658,500

8.   New York City, USA: 13,500,000

9.   Kuala Lumpur, Malaysia: 13,434,000

10. Shenzhen, China: 12,437,300 

ปัจจุบันเทรนด์การเลือกโรงแรมที่พักของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หาไม่ได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน สร้างคุณค่าและมูลค่าทางจิตใจ มากกว่าการเลือกโรงแรมใหญ่ ทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนที่ผ่านมา

สอดคล้องกับแนวคิดของ คุณวรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์ สถาปนิกและกูรูด้านการสร้างสรรค์โรงแรมเล็ก ผู้ก่อตั้งเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล และแอพพลิเคชั่น Homemade Stay ที่บอกว่า แนวโน้มการลงทุนในธุรกิจโรงแรมของประเทศไทยนับจากนี้ จะเป็นโอกาสทางการตลาดและการลงของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากขึ้น รองรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลส่งเสริมให้เป็นเจ้าของบูติคโฮเต็ลขนาดเล็ก พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายการบริการแบบครบวงจร เน้นจุดขายวัฒนธรรมไทย สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง

ธุรกิจห้องพักคุณภาพ หรือบูติกโฮเต็ล (Boutique Hotel) เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะหากเปรียบเทียบระหว่าง “บูติกโฮเต็ล” กับโรงแรม หรือรีสอร์ตทั่วไปแล้ว ต้นทุนทั้งพื้นที่และการก่อสร้างต่อห้องยังต่ำกว่าหลายเท่า ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้กลับเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว เช่น โรงแรมสำหรับแบ็กแพกเกอร์ หรือโฮสเต็ล (Hostel) ราคาต่อห้องที่ 400 บาทต่อคืน ขณะที่บูติกโฮเต็ลราคาต่อคืนเริ่มหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ธุรกิจดังกล่าวจึงมีความน่าสนใจเนื่องจากก่อให้เกิดรายได้ลงลึกถึงชุมชนโดยตรง

. และสำหรับทุกท่านที่กำลังริเริ่มหรือกำลังพัฒนาธุรกิจบูติคโฮเต็ล โฮสเทล และโฮมสเตย์ ที่อยากทราบขั้นตอนการทำ สร้างสรรค์ และวิธีเปลี่ยนตึกเก่าให้เป็นโรงแรมอย่างมีคุณภาพ ได้กำไร มีเอกลักษณ์ สร้างจุดขาย ถูกกฎหมายและมีความยั่งยืน เราขอแนะนำชุดหนังสือและ ซีดี audio ที่สมาคมโรงแรมไทยให้การรับรอง (ราคาพิเศษวันนี้) สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ทาง https://theboutiqueking.com/collections/books-cd  
---------
ขอบคุณข้อมูล
Euromonitor
CNN
---------
ติดตามบทความดีๆ ด้านการสร้างสรรค์โรงแรม บูติคโฮเต็ล โฮสเทล และโฮมสเตย์ โดยทีมงานสถาปนิก ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการออกแบบ การตลาดและการลงทุน ได้ทางเพจ เปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล : School of Creative Hotel Makers ได้ฟรีทุกสัปดาห์ และอ่านย้อนหลังบทความทั้งหมดพร้อมข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ทางเว็บไซต์ https://theboutiqueking.com/blogs/news
Worapan Klampaiboon Supergreen Studio #เปลี่ยนบ้านเก่าเป็นโรงแรมเก๋า #เปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล #BedTalkBestBiz #ISSUE020


Older Post Newer Post